ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ช่วง ค.ศ. 1942
ถัดมา บักส์ ก็ได้ไปปรากฏตัวในช่วงสั้นๆอีกเรื่อง ในการ์ตูนเกี่ยวกับการท่องเที่ยว Crazy Cruise ซึ่งออกมาในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1942 โดย เท็กซ์ เอฟวรีย์ และ โรเบิร์ต แคลมเพ็ต และนี่ก็เป็นตอนสุดท้ายที่กำกับโดย เท็กซ์ เอฟวรีย์ ในขณะที่ยังทำงานให้กับ"เทอร์ไมท์ เทอเรซ"
บักส์ และ เอลเมอร์ ได้พบกันอีกครั้งในตอน The Wabbit Who Came to Supper ของฟริซ เฟรเลง ออกมาในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1942 ในขณะที่ เอลเมอร์ กำลังล่าบักส์อยู่นั้น เขาได้รับโทรเลข แจ้งว่าเขาจะได้รับมรดก $3,000,000 จากลุงลูอีของเขา โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องเลิกทำร้ายสัตว์ โดยเฉพาะกระต่าย บักส์เลยฉวยโอกาสนี้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของ เอลเมอร์ ซะเลย และเรียกร้องสารพัด เอลเมอร์ ตอนหลังได้รับรู้ว่าลุงลูอี้ ได้เสียชีวิตแล้ว และเมื่อหักภาษีของการตกทอดมรดกแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือถึง เอลเมอร์ บักส์ได้รู้ดังนั้นก็เลยรีบเผ่นออกจากบ้านไปทันที หลังจากนั้นไม่นานบักส์ก็ส่งของขวัญมาให้ เอลเมอร์ ทางไปรษณีย์ ในกล่องของขวัญนั้นเต็มไปด้วยลูกกระต่าย ซึ่งเข้ามาอยู่เต็มบ้านของ เอลเมอร์ ไปหมด
ตอนต่อมาที่บักส์ได้ปรากฏตัว เป็นโฆษณาชื่อ Any Bonds Today? กำกับโดยโรเบิร์ต แคลมเพ็ต ฉายครั้งแรก วันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1942 เป็นการโปรโมทขาย พันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อเอาเงินไปใช้ในสงครามโลกครั้งสอง ในตอนนี้ บักส์ได้ร้องเพลงและเต้นโชว์ และมีการแสดง blackface performance (ที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้น) เพื่อล้อเลียน แอล โจลสัน (Al Jolson) ในตอนจบนั้น เอลเมอร์ ฟัดด์ และ พอร์คกี พิก ได้มาร่วมแสดง และนี่ก็เป็นการ์ตูนเพลงเรื่องแรกของบักส์ ความเป็นที่นิยมของ บักส์ เหนือ เอลเมอร์ และ พอร์คกี นั้นค่อนข้างเด่นชัดในช่วงเวลานั้น
บักส์นั้นก็ได้รับอิทธิพลจาก สงครามโลกครั้งที่สอง เช่นเดียวกับการ์ตูนอื่นๆ ซึ่งผู้สร้างการ์ตูนในขณะนั้น เช่น ฟเลซ์เชอร์ (Fleischer) (ผู้สร้าง Popeye) และ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Brothers studios) นั้นมีแนวโน้มที่จะวางเรื่องให้ตัวการ์ตูนนั้นเป็นศัตรูกับ ฮิตเลอร์ มุโสลินี กัวริง และ ญี่ปุ่น ในเรื่อง Bugs Bunny Nips the Nips ซึ่งฉายในปีค.ศ. 1944 นั้น บักส์ได้ถูกวางตัวให้ไปอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และต้องต่อสู้กับกองทัพทหารญี่ปุ่น (ซึ่งถูกออกแบบให้มีลักษณะที่น่ากลัว ตามลักษณะที่รู้จักกันโดยทั่วไป) ในตอน Herr Meets Hare ที่ออกฉายในปีค.ศ. 1945 เป็นตอนซึ่งมี กัวริง และ ฮิตเล่อร์ ปรากฏเป็นตัวเด่น ตอนนี้ก็เป็นตอนที่เด่น เนื่องมาจากเป็นตอนแรกที่บักส์ได้แสดงความเฟอะฟะที่มีชื่อเสียงของเขา คือ "right turn at Albuquerque" (ซึ่งบักส์นั้นจะพลาด make a right turn เลี้ยวขวา ซึ่งเป็น the wrong (ผิด) turn แทนที่จะ make a left (ซ้าย) turn ซึ่งเป็น the right (ถูก) turn --right/left;right/wrong-- ที่เมือง อัลบูเคอกี (Albuquerque) ทางตอนเหนือของรัฐนิวเม็กซิโก เป็นประจำ แล้วบักส์ก็จะบ่น "I knew I shoulda takin' that left turn at Albuquerque") และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ บางฉากในตอนนี้ได้ถูกลอกไปใช้อีกที ในตอน What's Opera Doc?
ในช่วง ค.ศ. 1942 มีการ์ตูนของบักส์ ออกมาทั้งหมด 6 ตอน ตอนแรกนั้นกำกับโดยโรเบิร์ต แคลมเพ็ต ชื่อตอน The Wacky Wabbit ฉายครั้งแรกวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 และก็เป็นอีกครั้งที่บักส์ของเรานั้น ได้สนุกสนานกับการกลั่นแกล้ง เอลเมอร์ ฟัดด์ ซึ่งในเรื่องนี้ได้ถูกจัดให้เป็นนักขุดหาทองในทะเลทราย เรื่องที่สองคือ Hold the Lion, Please ฉายครั้งแรก 13 มิถุนายน ค.ศ. 1942 เนื้อเรื่องในตอน เป็นเรื่องของสิงโต ที่พยายามจะพิสูจน์ตัวเองว่ายังเป็น "King of the Jungle" หรือจ้าวป่าอยู่ โดยการออกไปไล่ล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ไร้ทางต่อสู้ และก็ได้ตัดสินใจที่จะล่าบักส์, แล้วก็พบว่า ตัวเองนั้นเป็นฝ่ายถูกหลอกแบบไร้ทางสู้เลยก็ว่าได้ แต่ในที่สุดแล้ว สิงโด ก็ได้พบจุดอ่อนของบักส์ คือ บักส์นั้นกลัวภรรยา (หรือ ภาษาชาวบ้านก็เรียกว่า กลัวเมีย) ตอนนี้เป็นตอนแรกที่ภรรยาของบักส์ปรากฏตัว และก็เป็นตอนสุดท้ายด้วย เพราะว่าหลังจากนั้นบักส์ของเรา ก็กลับกลายเป็นโสดเหมือนเดิม ตอนนี้เป็นตอนแรกในช่วงเวลา 2 ปีที่กำกับโดยชัค โจนส์
เรื่องที่สาม กำกับโดย โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ชื่อ Bugs Bunny Gets the Boid ฉายครั้งแรกวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1942 เป็นเรื่องของแม่อีแร้ง ที่สอนลูก ๆ อีแร้งที่ขนเพิ่งขึ้น ให้รู้จักล่าอาหารด้วยตนเอง แล้ว บีกกี บัซซาร์ด ซึ่งตัวเล็กที่สุด และอ่อนแอที่สุดในครอก ก็ดันไปล่าเอาบักส์ ไม่เพียงแค่ไม่ประสบผลสำเร็จ สุดท้ายบักส์ต้องเอาตัว บีกกี้ บัซซาร์ด ไปส่งคืนให้แม่อีแร้งซะอีก นกแร้งน้อยตัวนี้ หลังจากที่เปิดตัวในตอนนี้แล้ว ยังได้ออกมาอีกในตอนหลัง บีกกีนั้นมีที่มาจากหุ่นกระบอก มอร์ติเมอร์ สเนิร์ด ซึ่งเล่นโดย เอ็ดการ์ เบอร์เก็น นอกจากนั้น บีกกียังมีส่วนที่คล้ายเจ้าหมากูฟฟี และเสียงพากษ์ของบีกกี โดย เค็นท์ โรเจอร์ส (เสียชีวิต เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944) นั้นก็ยังมีส่วนคล้าย ที่ทำให้นึกถึงผู้ให้เสียง กูฟฟี คือ พินโต โคลวิก อย่างไรก็ตาม ถึงจุดนี้ดูเหมือนว่า โรเบิร์ต แคลมเพ็ต จะเริ่มคุ้นเคยกับการกำกับการ์ตูน บักส์ บันนี แล้ว ในตอนนี้ บักส์ ได้ถูกออกแบบใหม่เล็กน้อย โดยฟันกระต่ายของเขานั้นถูกทำให้เด่นน้อยลง และหัวของเขาก็กลมขึ้นอีกหน่อย ผู้ที่รับผิดชอบในการออกแบบคือ โรเบิร์ต แม็คคิมสัน ซึ่งเป็นนักวาด ที่ทำงานให้กับ โรเบิร์ต แคลมเพ็ต ในขณะนั้น รูปโฉมใหม่ของบักส์นั้น แรกเริ่มก็ใช้อยู่เพียงในกลุ่มของแคลมเพ็ต แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้กลายเป็นรูปโฉมที่ใช้ในการ์ตูนที่กำกับ และสร้างโดยคนอื่นด้วย
เรื่องที่สี่ เป็นของ ฟริซ เฟรเลง ชื่อ Fresh Hare ฉายครั้งแรก 22 สิงหาคม ค.ศ. 1942 ในตอน บักส์หลบซ่อนอยู่ในป่าทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา จากการไล่ล่าของ เอลเมอร์ ฟัดด์ ตำรวจแห่งชาติแคนาดา (Royal Canadian Mounted Police) ตามหมายจับซึ่งต้องการตัวบักส์ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย แต่ถ้าเป็นไปได้ให้จับตาย หลังจากการดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในที่สุด บักส์ก็ถูกจับ และ ตัดสินให้ถูกประหารด้วยการยิงเป้า ในขณะที่กำลังจะถูกประหาร บักส์ ได้เริ่มร้องเพลง "Dixie's Land" ซึ่งแต่งขึ้นในปี ค.ศ. 1859 โดย แดเนียล ดีเคเตอร์ เอ็มเม็ต (ชาตะ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1815 - มรณะ28 มิถุนายน ค.ศ. 1904) แล้วลานประหารก็กลายเป็นทุ่งฝ้าย และตำรวจก็เริ่มแสดงละครเพลง
เรื่องถัดมาของบักส์ ก็กำกับโดยฟริซ เฟรเลง ชื่อ The Hare-Brained Hypnotist ออกฉายวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1942 ในตอนนี้ เอลเมอร์ ฟัดด์ ได้สะกดจิตตัวเอง เพื่อให้มีความสามารถที่จะจับบักส์ได้ แต่ในระหว่างการไล่ล่า บักส์ได้ทำการสะกดจิตเอลเมอร์ ให้หลงเข้าใจว่าตัวนั้นเป็นกระต่าย แต่ เอลเมอร์ นั้นกลับหลงคิดว่าตัวเองคือบักส์ ผลคือ บักส์เลยได้ลิ้มรสชาติเล่ห์กลของตัวเองจาก เอลเมอร์ แล้วทั้งสองก็ไล่ล่าพยายามที่จะสะกดจิดฝ่ายตรงข้าม ในตอนจบ เอลเมอร์ กลับเป็นปกติ แต่บักส์นั้นขับเครื่องบินไล่หาสนามบิน เนื่องจากถูกสะกดจิตว่าตัวเองเป็นนักบินขับเครื่องบินทิ้งระเบิด ตอนนี้ เป็นตอนที่ลักษณะการดวลกันระหว่าง เอลเมอร์ และ บักส์ นั้นตรงข้ามกับปกติ คือ เอลเมอร์ นั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบ (บ้าง ถึงแม้จะเป็นในช่วงสั้นๆ ก็ตาม)
ตอนที่เก้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายในปี กำกับโดยชัค โจนส์ ชื่อตอน Case of the Missing Hare ออกฉายเมื่อ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1942 ในตอนนี้ บักส์ได้สร้างบ้านอยู่ในรูกลวงในต้นไม้ แล้วก็เกิดรำคาญขึ้นมาเนื่องจากนักมายากล อลา บามา (เป็นการเล่นคำ จากชื่อของ ชื่อรัฐแอละแบมา) นั้นเอาแผ่นโฆษณาการแสดงมาแปะไว้รอบๆต้นไม้ บักส์จึงได้ตามนักมายากลไป และได้ขึ้นไปร่วมแสดงบนเวทีด้วย ซึ่งการแสดงของบักส์นั้นทำให้นักมายา ได้รับความอับอาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น